ทำงานยังไงให้ Happy
- Klangjai Tawornpichayachai
- Jul 7
- 2 min read
KJ’s Leadership Series #3
ความสุขคืออะไร มีจริงเหรอ
วันก่อนฟัง Podcast เรื่องเกี่ยวกับการนอนหลับของ Steven Bartlett เขาพูดถึงคนที่อยู่ในสลัม India ที่ดูจะมีความสุขมากกว่าคนที่ดูเหมือนมีคุณภาพชีวิตที่ดีกว่าในเมืองใหญ่ๆ ทำให้คิดถึงคำพูดที่ได้ยินมาตั้งแต่เด็กๆว่า “ความสุขอยู่ที่ใจ” ในใจก็คิดว่าจริงเหรอเพราะถ้าให้บอกว่าความสุขของตัวเองคืออะไร คำตอบคือ “ไม่รู้จริงๆ” มันเป็นเหมือนความรู้สึกที่เกิดในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่งซึ่งไม่จำเป็นต้องเกิดจาก Actions เดียวกัน แต่ก่อนพี่เคยคิดว่าถ้าเราได้ทำในสิ่งที่เราชอบนั่นแหละคือความสุข พี่ชอบทำขนมมากเลย เวลาทำขนมแล้วเอาไปให้คนรอบๆข้างทานแล้วรู้สึกว่ามันสนุกดี ตอนทำมันจะให้ความรู้สึกเหมือนอยู่ใน ‘The zone’ เกิด Flow ที่ตัวเองรู้สึกชอบ แล้วเวลามันก็จะผ่านไปอย่างรวดเร็วมาก (ตรงตามอีก Concept ที่เคยได้ยินมาว่าเวลาเรามีความสุขทุกอย่างมันจะผ่านไปเร็ว) คราวนี้พี่ก็ลองเริ่มตั้ง Challenge ให้ตัวเองโดยการทำขนมจำนวนมากขึ้น ให้คนจำนวนมากขึ้น เมื่อปีที่แล้วลองอบ Mini Cookies จำนวน 50 ถุง เพื่อส่งให้น้องๆ ในทีม ปรากฎว่าความสุขนี่มันไม่ค่อยเกิดละเวลาที่เรายืนปั้น Cookie dough ตั้งแต่เช้ายันบ่ายแล้วก็อบทีละถาดจนกว่าจะได้ครบทุกถุง

บางคนมีความสุขกับการซื้อของ มันก็แปลกนะที่บางทีพอกดซื้อไปแล้ว ของมาถึงแล้ว คุณค่าของสิ่งของนั้นๆมันดูค่อยๆจางหายไป ความสุขมันดูหมดไปแฮะ มันชัดเลยว่าไม่ใช่ว่าเรามีของที่เราอยากได้มากๆแล้วเราจะมีความสุข ฉะนั้นคำว่า “ของมันต้องมี” เป็นการตลาดที่ทำให้เราเกิดการวน Loop ในการตอบสนองความอยากนี้อย่างไม่ Healthy เลยในมุมของพี่ จริงๆ เราน่าจะถามตัวเองทุกครั้งว่า “ของนี้ไม่จำเป็นต้องมีได้ไหม คิดดีๆ ว่าถ้าไม่มีจะเกิดอะไรขึ้น” ส่วนมากแล้วเราจะได้คำตอบว่า ….ไม่มีก็ไม่เป็นไร…หลังๆมานี้พี่ลองดูเฉยๆ แต่ไม่ซื้อ ก็ดูไม่ได้มีผลอะไรกับชีวิตนะ ไปลองทำกันดู สนุกในการเลือกดูแต่ไม่เสียตังค์ :)
นอกเรื่องไปนาน จากหลายๆเหตุการณ์ที่เกิดกับพี่ เหมือนตอนนี้ Definition ของความสุขของแต่ละคนน่าจะต่างกัน แต่มันมีลักษณะคล้ายๆกันตรงที่มันมักจะ Positive, Subjective, และ มีอยู่หลายด้าน เกิดได้ระดับ Moment หรือแบบ Long term ไม่ได้เกิดขึ้นตลอดเวลา เหมือนมันต้องเกิดจากความสมดุลระหว่างความรู้สึกบวกและลบปนๆกันไปถึงจะรู้สึกได้ว่าเรามีความสุข ยกตัวอย่าง เช่น เวลาเราหิวมากๆ อาหารจะอร่อย สุดๆ เวลาเราอิ่มเกินไป อาหารอร่อยก็ไม่อร่อยอีกแล้ว ความสุขในการทานอาหารเกิดก็ต่อเมื่อเราทุกข์ (หิว) หรือเวลาออกกำลังกายนี่รู้สึกทุกข์มากเลย ไม่ชอบมากเพราะเราเหนื่อย ร้อน เหนอะหนะ แต่พอออกกำลังกายเสร็จกลับรู้สึกว่ามันมีความสุขจัง
แล้วมันเกี่ยวอะไรกับเรื่องการทำงาน?
ความสุขเป็นเรื่องที่ Subjective มากๆ ความสุขในการทำงานเป็นสิ่งที่ไม่กี่คนมี คนที่คิดว่าตัวเองทำงานแล้วมีความสุขสำหรับพี่ถือว่าเป็นคนที่โชคดีนะ เพราะเราใช้ชีวิตอยู่กับการทำงานหลายชั่วโมงต่อวัน มันมีผลต่อ Physical and emotional health ของพวกเราจริงจังเลย เวลาเราพูดถึงความสุขในการทำงานเรามักจะหมายถึงความรู้สึกบวกกับงานที่เราทำในระยะเวลาหนึ่งๆ เป็นเรื่องของ Overall satisfaction กับ ความสำเร็จกับ Fulfillment ที่ไม่ใช่สิ่งที่เกิดชั่วคราวเหมือนเวลาได้จิบชานมไข่มุก
ทำอะไรยากๆจะมีความสุขได้ยังไง?
การต้องทำอะไรแล้วอยากให้มันสำเร็จแต่เรารู้ดีว่าเราต้องใช้วิธีการที่ยากหรือเรายังไม่ถนัดถือว่าเป็นความท้าทายที่เราทุกคนต้องก้าวผ่านมันไปให้ได้ ตอนเรียนมอปลายพี่จำได้ว่าเคย motivate ตัวเองด้วย Motivation Quote เล็กๆที่แปะไว้ในกล่องดินสอ kerokerokeropi สีเขียวว่า “if you have to do it, do it happily” นี่เป็นสิ่งที่พี่ พูดกับตัวเองมาตลอดว่าถ้าอยากมีชีวิตที่มีความสุขให้ทำทุกอย่างให้มันมีความสุขดิ มันเริ่มต้นง่ายๆที่ตัวเราแค่นั้นเลย การมี Mindset แบบนี้ช่วยให้พี่ผ่านการทำในสิ่งที่ไม่อยากทำหลายๆ อย่าง ในตอนเด็กๆ มาได้ ลากยาวจนตอนได้มีโอกาสมาสร้างและดูแล ETS ทำให้พี่ใส่ Keystone Behaviour ของเราข้อนึงไว้ว่า “Solve problem, like you love it…. and pick someone fun to do it with” (ไปอ่านเจอมาในหนังสือแล้วคิดว่ามันตรงกับเรามากเลยยืมเค้ามาใช้) เพราะพี่เชื่อว่าถ้าปัญหามันยากอยู่แล้ว แล้วยังทำด้วย Attitude ของการถูกบังคับให้ทำ ไม่อยากทำ แล้วยังต้องทำกับคนที่ไม่ชอบมันคงทำให้ชีวิตเราแย่มากๆเลย และพี่ไม่อยากให้ทีมและตัวเองอยู่ใน environment อย่างนั้น
พี่เชื่อว่าความสุขในการทำงานมันเกี่ยวกันอย่างมากกับจุดมุ่งหมาย ความหมายและทิศทางการเติบโตของชีวิตเรา งานที่มีความสุขคืองานที่เรารู้สึกว่าสิ่งที่เราทำมันมีคุณค่าต่อตัวเรา ต่อเพื่อนร่วมงาน ต่อสังคมโดยรวม ยิ่งถ้าเราได้เพื่อนร่วมงานที่เห็นคุณค่าเดียวกันกับเรา เราจะรู้สึกได้ว่าเรา Belong ในที่ทำงานนี้ ในสังคมนี้ที่ทุกคนเห็นจุดหมายเดียวกัน เติบโตไปด้วยกันในการทำอะไรที่ยิ่งใหญ่ให้คนอื่น ความแปลกอีกอย่างของเรื่องนี้คือ ถ้าจุดหมายเราถึงง่ายเกินไป เร็วเกินไป ความสุขมันก็จะจางหายไปและกลายเป็นไม่มีความหมายต่อความพยายามไปให้ถึงมัน อะไรที่ได้มาง่ายๆ มันก็อาจจะไม่ใช่สิ่งดี

ต้องสร้างสิ่งแวดล้อมอย่างไรให้คนมีความสุข
Purpose and Meaning
หน้าที่ของผู้นำคือการวางเป้าหมายให้การเดินทางนี้เกิดขึ้นอย่างไม่มีที่สิ้นสุดเพื่อที่ความสุขจะได้เกิดขึ้นอย่างสนุกและมีความหมายมากๆ งานใน Sprint โดยเฉพาะที่เป็น Epics ต่างๆ เป็นโอกาสที่ดีที่สุดในการสร้างความสุข เพราะมันเป็น Story ที่ต้องใช้ความคิด ความพยายามในการให้ได้มันมา ทำให้ทีมเกิดแรงบันดาลใจในการเดินทางสู่จุดหมายและสร้างโอกาสให้เราฉลองเมื่อมันสำเร็จ
Community and Belonging
สร้างระบบการทำงานให้คนได้ทำงานกับคน ได้เกิด Social interaction เกิดการสร้าง Long term relationship ที่มีความหมายกับชีวิตของพวกเขาจริงๆ เกิดการช่วยเหลือ เห็นอกเห็นใจซึ่งกันและกัน ให้ทุกคนได้รู้สึกปลอดภัยในการทำงาน ร่วมงานกัน แลกเปลี่ยนความคิดเห็นและพูดในสิ่งที่เป็นความจริงอย่างจริงใจที่สุด มันมีแนวคิดเกี่ยวกับความสุขที่เรียกว่า Ubuntu จาก South African activist ที่ชื่อ Desmond Tutu กล่าวไว้ว่า “I am because we are” ซึ่งเขาอธิบายเพิ่มเติมไว้ตามที่เขียนด้านล่าง
We believe that a person is a person through other persons.
“Africans have a thing called ubuntu. We believe that a person is a person through other persons. That my humanity is caught up, bound up, inextricably, with yours. When I dehumanize you, I dehumanize myself. The solitary human being is a contradiction in terms. Therefore you seek to work for the common good because your humanity comes into its own in community, in belonging.”
นี่เป็นสิ่งที่เราอยากสร้างให้เกิดกับการทำงานในทีมที่เราช่วยเหลือซึ่งกันและกันจริงๆ
ไปช้า แต่ไปด้วยกัน
ในโลกที่ทุกคนแข่งขันและเปรียบเทียบกันตลอดเวลา เราได้รับแรงกดดันจากหลายๆแหล่งให้ทำให้เร็วกว่านี้ ดีกว่านี้ ได้มากกว่านี้ สิ่งที่พี่อยากบอกพวกเราคือมันเป็นสิ่งที่เราต้องเลือกว่าเราจะไปเร็วแต่ทิ้งบางคนไว้ หรือไปช้าแต่ไปด้วยกัน ในฐานะที่เป็นทีมการศึกษา สิ่งที่เราควรเชื่อไว้ก่อนก็คือ ทุกคนพัฒนาได้ ถ้าเราเชื่อมั่นในความพยายามและความตั้งใจจริงของทุกคนในทีม เราจะรอคนที่ล้มอยู่ เราจะยอม Slowdown เพื่อพาทุกคนจับมือเดินไปด้วยกัน (อันนี้เป็นวิธีคิดอะนะ ถ้าลองไปทำจริงแล้วมันเจออะไรที่ทำให้ทำไม่ได้แล้วค่อยมาว่ากันอีกทีได้)
พี่ให้ข้อสรุปไว้ว่า สำหรับตัวเองความสุขเกิดจากการที่เราทำในสิ่งที่เรารัก และสิ่งนั้นเป็นสิ่งที่มีความหมายกับคนอื่น (สร้างประโยชน์ให้คนอื่น) ถ้าสิ่งที่เรารัก เป็นสิ่งที่เราถนัด และสิ่งที่เราถนัดเป็นงานที่สร้างประโยชน์ อันนี้เยี่ยมเลย ถ้าสิ่งที่เรารักเป็นสิ่งที่เราไม่ถนัด เราก็ไปทำให้มันถนัดซะ (น่าจะไม่ยากเพราะเราะมี intrinsic motivation คอยช่วยผลักดันให้เราเรียนรู้) แต่ถ้าสิ่งที่เราถนัดเป็นสิ่งที่เราไม่ได้รัก เราสามารถมองจากมุมที่เป็นประโยชน์ของมันได้ จะทำให้เราเห็นความหมายว่าเราทำไปทำไม ช่วยใครอยู่ ไม่ทำแล้วเกิดอะไรขึ้น เราต้องคิดเรื่องพวกนี้ให้ออกนะ อย่างน้อยต้องเห็นคุณค่าในสิ่งที่ตัวเองทำ ถ้าไม่เห็นจงหาให้เจอ ถ้าไม่เจอจริงๆ หยุดเลยหยุดทำซะ สำหรับทีม เราสามารถช่วยสร้างความรักความภูมิใจให้เกิดขึ้นในงานที่เราทำได้จากการกำหนดเป้าที่ยิ่งใหญ่ มีความหมายและมีประโยชน์กับคนอื่น เราเป็นหัวหน้า เราต้อง Commit ที่จะดูแล รับฟัง เข้าใจ ช่วยเหลือและสนับสนุนให้พวกเขาไปถึงเป้าเหล่านั้นให้ได้ อย่าลืมเป็นทั้ง Safety Net เวลาที่ปัญหาเกิด อยู่เคียงข้างลูกทีมเราตลอดเวลาไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น (Have their back in difficult times) — ขอให้สนุกกับการสร้างความสุขในการทำงานนะคะ :)


Comments