top of page

Micro-credential กับการออกแบบระดับการเรียนรู้

  • Writer: Klangjai Tawornpichayachai
    Klangjai Tawornpichayachai
  • Jun 8, 2024
  • 2 min read

Updated: Jul 7

หลังจากที่ผลักดัน Micro-credential มานานประมาณหนึ่งทำให้รู้ว่าการจัดการเรียนรู้เพื่อให้ผู้เรียนทำได้จริงเนี่ยไม่ใช่เป็นเรื่องง่ายเหมือนที่นั่งเทียนฝันกันไว้ เวลาไปชวนอาจารย์มาออกแบบ Micro-credential เรามักจะได้ยินเสียงบ่นตามมาตลอดว่าเทียบกับการสอนปรกติ การออกแบบเพื่อการันตี Competency มันช่างยุ่งยาก ใช้เวลานาน พร้อมคำถามที่ตามมาเยอะแยะว่าทำไมต้องเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ด้วย


เรื่องเก่าเอามามองใหม่ให้ชัดกว่าเดิม


สำหรับอาจารย์หลายๆ ท่านที่ยังไม่เคยออกแบบ Micro-credential มาก่อนให้นึกถึงการออกแบบการเรียนรู้ที่เป็น OBE (Outcome-Based Education) ซึ่งจำเป็นที่จะต้องออกแบบให้เกิด Alignment ระหว่าง Elements ต่างๆ เช่น Learning Outcome ต้องสอดคล้องไปด้วยกันกับ เนื้อหา/Concept วิธีการวัด รวมถึงกิจกรรมในการเรียนรู้และฝึกฝนการทำได้ทำเป็นต่างๆ ที่เราวางแผนไว้ให้ผู้เรียน การออกแบบให้เราสามารถ Verify Competence/Competency ของผู้เรียนได้ก็เช่นกัน ใช้หลักการเดียวกันทุกอย่าง


Micro-credential สามารถออกแบบได้ในทุกระดับของ Miller’s Prism of Competency เริ่มต้นตั้งแต่ Knows, Knows How, Shows, และ Does ซึ่งเราเปลี่ยนคำอธิบายในระดับ Know เป็น Understanding เพื่อให้สอดคล้องกับการการันตีความสามารถในระดับต่ำสุดที่เราต้องการตามรูปด้านล่าง ถ้าเราพยายามมองระดับของการทำได้ทำเป็นเหล่านี้เข้ากับ Proficiency Framework ของ Gloria Gery (1991) ที่ให้เรามองการออกแบบการเรียนรู้โดยตั้งเป้าว่าเราอยากให้ผู้เรียนทำได้ทำเป็นขนาดไหนโดยเริ่มตั้งแต่ Familiarization, Comprehension, Conscious Effort, Conscious Action, Proficiency ไปจนถึง Unconscious Competence จะเห็นได้ว่าเราวางเป้าการออกแบบ Micro-credentialไว้ที่ 4 ระดับตรงกลางพอดีเริ่มตั้งแต่ Compredension หรือความเข้าใจ ไปจนถึง Proficiency ที่ผู้เรียน “ทำเป็น” โดยไม่ต้อง “Conciously using the principles” ซึ่งจะต่างกันกับคนที่แค่ “ทำได้” ในระดับ Concious Effort หรือ “ลองทำ” ในระดับ Concious Action


ree

4 Levels of Micro-credentails in 4lifelonglearning.org


ความแตกต่างของการออกแบบ Micro-credential กับ OBE ปรกติ?


Micro-credential เป็นเรื่องของการ Verify Competency ที่เฉพาะเจาะจง (Specific) ซึ่งออกแบบตามหลักการ Constructive Alignment เหมือนกันกับการออกแบบการเรียนรู้แบบ OBE ทุกอย่าง เพียงแค่มีรายละเอียดเพื่อให้เกิดคุณภาพของการวัดอย่างเช่น


  • Single Competency ลองนึกดูว่าเวลาเราเขียน Learning Outcome ตัวใหญ่หรือซับซ้อนเกินไปแล้วต้องพยายามหา Rubrics หรือมาตรฐานในการวัดให้เกิดการประเมินการเรียนรู้ได้แบบไม่ Subjective เนี่ยมันทำได้จริงไหม นี่คือสาเหตุหลักที่ Micro-credential Design ต้อง Focus ที่ Competency เพียงตัวเดียวเท่านั้น เพื่อที่เราจะได้ตั้งใจวัด Competency นั้นได้จริงๆ ตัวอย่างเช่น ถ้าเราจะออกแบบ Micro-credential เพื่อวัดความสามารถในการสอนของอาจารย์ในระดับมหาวิทยาลัย จะเห็นว่าความสามารถในการสอนนั้นมีหลายระดับ หลายรูปแบบ และสามารถแสดงออกในบริบทที่แตกต่างกันมากมาย การออกแบบกิจกรรม การออกแบบการวัดผลการเรียนรู้ การบริหารห้องเรียน หรือ การ Engage ผู้เรียน ความสามารถเหล่านี้ล้วนแตกต่างและเป็นไปได้ยากมากที่จะนำมารวมกันเพื่อให้เกิดการ Verifyในครั้งเดียวให้ครบในทุกๆ องค์ประกอบได้


  • Evidence based จะรู้ได้อย่างไรว่าผู้เรียนทำงานได้ถ้าไม่ให้พวกเขาทำงานให้ดูหรือเอางานที่เคยทำมาให้ดู นี่คือสาเหตุที่ทุก Mico-credential จะต้องเห็นหลักฐานการทำได้ทำเป็นชัดเจน เหมาะสมกับเป้าหมายในการทำได้ทำเป็นของผู้เรียนในแต่ละระดับ เช่น ถ้าจะให้แน่ใจว่าทำงานนี้ได้ก็ต้องเอางานมาส่ง และงานชิ้นนั่นๆ ต้องแสดงออกถึงการทำได้ ทำเป็น เหมาะสมกับระดับและตามมาตรฐานที่ผู้ออกแบบซึ่งเชี่ยวชาญใน Competency นั้นๆ กำหนดไว้ หรือถ้าจะให้แน่ใจว่าผู้เรียนเข้าใจก็ต้องเห็นหลักฐานของความเข้าใจนั้นๆ ผ่านการวัดผลที่วัดความเข้าใจเหล่านั้นได้จริงๆ


  • Rubrics for Evidence Assessment จะรู้ได้อย่างไรว่าพวกเราตรวจ Evidences เหล่านั้นด้วยมาตรฐานเดียวกันถ้าไม่มีการตกลงทำความเข้าใจถึงเกณฑ์การตรวจอย่างเป็นระบบ การใช้ Rubrics เป็นวิธีการเดียวที่เราคิดออกตอนนี้ว่าเราจะไม่ตรวจหลักฐานการเรียนรู้ตามความรู้สึกแล้วก็เหมาๆ มองการทำได้ทำเป็นของพวกเขาเป็นเกรด A, B, C, D ที่ตีความได้ยากว่าแต่ละอันหมายความว่าทำได้ในระดับใด การที่ผู้เรียนได้ A จากผู้สอนบางคนอาจจะเท่ากับ B เมื่อถูกประเมินจากผู้สอนคนอื่นก็ได้ถ้าไม่มีการตกลงกันว่าคุณภาพของงานที่ผู้เรียนทำต้องเป็นแบบไหนถึงจะทราบว่า เข้าใจแล้ว ฝึกทำอยู่ หรือทำเป็นแล้วจริงๆ การใช้ Performance Rubric เป็น Criteria หลักในการพิจารณาการทำได้ทำเป็นนี้จะช่วยสร้างความเท่าเทียมให้กับการวัดหรือ Verify Competency ซึ่งจำเป็นอย่างมากกับความน่าเชื่อถือของระบบการศึกษาใดๆ รวมถึง Micro-credentail ใน 4lifelonglearning.org ด้วย


รูปด้านล่างเป็นตัวอย่างโครงสร้างในการออกแบบ Micro-credential ในระดับ Does ซึ่งผู้ออกแบบจำเป็นต้องขอตัวอย่างชิ้นงานที่เกิดจากการทำงานจริงในระดับ Proficiency จากผู้เรียนมาเพื่อเป็น Evidence ของ Competency นั้นๆ ความยากของการมองให้ออกว่าอะไรเป็น Evidence ของแต่ละ Job-specific Competency นี้เป็น Challenge สำคัญสำหรับอาจารย์มหาวิทยาลัยหลายๆท่านเพราะว่าเราไม่เคยหรือคุ้นชินกับระบบการศึกษาที่ใช้ Competency เป็นเป้าหมายในการออกแบบการเรียนรู้มาก่อน ด้านล่างเราวาดรูปอาจารย์กำลังตอก Learning Outcome เข้าไปในช่องของ Content ที่ตัวเองสอนเป็นการสะท้อนความเป็นจริงที่พบได้บ่อยจากประสบการณ์ของผู้เขียนเองเวลาไปจัด Workshop เรื่องการเขียน Learning Outcome ซึ่งผู้ออกแบบการเรียนรู้ส่วนมากมักจะใช้เนื้อหาที่ตัวเองเคยสอนเป็นตัวตั้งต้นในการคิดว่า “ถ้าฉันจะสอนเรื่องนี้แล้วผู้เรียนควรทำอะไรได้” ซึ่งถ้าเราคิดในมุมของ Competency ตั้งต้นเราต้องถามตัวเองว่า “ฉันอยากให้ผู้เรียนทำอย่างนี้ได้ ฉันต้องสอนอะไร” การพยายามทำ Learning Outcome ให้ ‘Fit’ กับ Content นี้ไม่ใช่เรื่องผิด เพียงแค่วิธีการคิดแบบ Content มาก่อนที่เราคุ้นชินนี้ควรจะค่อยๆ ถูกแทนที่ด้วยการมองให้ออกถึงสิ่งที่ผู้เรียนต้องทำได้เพื่อให้พวกเขาประสบความสำเร็จในอาชีพหรือชีวิตของพวกเขาเพื่อให้เราสามารถสร้างการเรียนรู้ให้ Practical กับชีวิตผู้เรียนมากขึ้น


ree

การออกแบบ Micro-credential ในระดับ Shows และ Does


นอกจากจะคิดไม่ค่อยออกว่าอะไรเป็น Evidence ของการทำเป็นแล้ว อีก Challenge สำคัญของการออกแบบการเรียนรู้เพื่อตอบโจทย์ Competency คือการที่ผู้เรียนส่วนมากในระดับมหาวิทยาลัยไม่มีโอกาสในการไปทำงานจริงจนสามารถนำชิ้นงานที่เป็น Work samples เหล่านี้มาส่งเพื่อ Verify Competency ในการทำงานได้ เราควรทำอย่างไรกับความไม่เอื้อของการออกแบบและจัดการระบบการศึกษาในภาพใหญ่นี้?


เมื่อผู้เรียนไม่เคยทำงานมาก่อน


4lifelonglearning ได้ตระหนักถึงข้อจำกัดนี้ ทำให้เราวาง Framework ในการออกแบบให้ครอบคุมพอสำหรับผู้เรียนทุกกลุ่มเพราะเราเข้าใจดีว่าเวลาเราจะออกแบบอะไรซักอย่าง สิ่งแรกที่เราต้องนึกถึงเสมอคือเราออกแบบให้ใคร ซึ่งถ้าผู้เรียนของเรายังไม่เคยทำงานจริงๆมาก่อนในชีวิต ผู้ออกแบบสามารถเลือกออกแบบ Micro-credential ในระดับอื่นที่ไม่จำเป็นต้องใช้ชิ้นงานจากการทำงานจริงๆ มา Verify ความสามารถ เช่น ระดับ Shows ที่เราสามารถมองเห็นหลักฐานของการเรียนรู้ผ่านการทำโจทย์เสมือนจริง หรือ Simulations ที่เหมือนหรือใกล้เคียงกับสถานการณ์จริง ซึ่ง Evidences ประเภทนี้มีอยู่อย่างมากมายในวิชาปีสูงๆ ของแต่ละภาค ในกรณีที่ผู้เรียนได้มีโอกาสทำงานที่แสดงออกถึง Competency นั้นๆ ผ่านการทำงานจริง เช่น วิชา Work-Integrated Learning (WIL) ผู้ออกแบบสามารถพิจารณาออกแบบตามระดับความสามารถของผู้เรียนตามประสบการณ์ที่ผู้เรียนได้รับได้ เช่น ผู้เรียนอาจจะสามารถนำชิ้นงานที่แสดงการทำเป็นในระดับ “Does” หรือ Proficiency ได้ถ้าได้มีโอกาสทำงานกับบริษัทมาเป็นระยะเวลาพอที่จะเกิดความเชี่ยวชาญในการทำงานนั้นๆ หรือสามารถ “Show” ว่าสามารถแก้ปัญหาจากโจทย์จริงได้แต่อาจจะยังไม่ถึงขั้น Proficiency


ความแตกต่างของการสอนในระบบการศึกษาแบบ Micro-credential กับ OBE ปรกติ


จริงๆ แล้วเรายังไม่ได้มีการกำหนดกระบวนการพัฒนาผู้เรียนในระบบการศึกษาแบบ Micro-credential หรือ Credentialing Learning อย่างชัดเจนว่าจะต้องเหมือนหรือแตกต่างกับระบบการศึกษาที่พวกเราเคยทำหรือรู้จักอยู่ทุกวันนี้อย่างไร (ยังคิดไม่ออกและไม่แน่ใจว่าควรกำหนดขึ้นมาไหม) ความ “ยังไม่รู้” ของเราในเรื่องวิธีการพัฒนาผู้เรียนเพื่อการันตีความสามารถนี้เป็นแรงผลักดันอันยิ่งใหญ่ที่ทำให้เราต้อง “คิดต่อ” ว่าเราจะทำอย่างไรเพื่อการันตีการทำได้ทำเป็นตาม Learning Outcome ที่เราเขียนไว้กันจริงๆ — สนใจมาร่วมคิดไปด้วยกันได้ที่ 4lifelonglearning.org :)


References:

  • Miller GE, The Assessment of Clinical Skills/Competence/Performance; Acad. Med. 1990; 65(9): 63–67. Adapted by Drs. R. Mehay and R. Burns, UK (Jan 2009).

  • Dirksen, Julie . Design for How People Learn (Voices That Matter) (p. 114). Pearson Education. Kindle Edition.

Comments


© 2035 by BizBud. Powered and secured by Wix

bottom of page